ระบบในรถยนต์ที่ต้องตรวจเช็คสภาพ ก่อนเดินทางไกล
1. ตรวจสอบระบบเบรก
หมั่นฟังเสียงเบรกประจำรถของคุณไว้แต่เนิ่นๆ ว่ามีเสียงเอี๊ยดอ๊าดผิดปกติหรือเปล่า หรือเวลาเหยียบเบรกแล้วหยุดสนิทไหม อาการของรถเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้บอกอาการของรถถูกเมื่อนำรถไปตรวจเช็คระบบเบรคที่ศูนย์บริการ เพราะการตรวจสอบระบบเบรคมีความยุ่งยากและซับซ้อนเกินกว่าที่คุณจะสามารถดูแลด้วยตนเองได้ ไว้ใจให้ผู้เชี่ยวชาญเช็คให้ดีกว่า
2. ตรวจเช็คแบตเตอรี่
ถ้าแบตเตอรี่เป็นชนิดเติมน้ำกลั่น ควรตรวจวัดระดับน้ำกลั่นก่อนทุกครั้ง และควรตรวจที่ขั้วแบตเตอรี่ว่าแน่นหรือไม่ มีสนิมมาเกาะบริเวณขั้วหรือเปล่า ซึ่งโดยปกติแล้วอายุการใช้งานของแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 2 ปี หากใช้แบตฯ ลูกนี้นานเกินจำ แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยนใหม่ก่อนออกเดินทาง เพราะการขับรถไปจอดแล้วสตาร์ทไม่ติดนั้น เป็นประสบการณ์ที่ไม่สนุกเอาเสียเลย
3. ตรวจเช็คหม้อน้ำและน้ำยาหล่อเย็น
ความสำคัญของหม้อน้ำคือ ช่วยระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ ความร้อนที่สูงเกินไปจะทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์เสียหาย ดังนั้น แค่เปิดกระโปรงรถ แล้วดูระดับน้ำในหม้อน้ำสำรอง ให้อยู่ในระหว่าง Max กับ Min ก็เพียงพอแล้ว ข้อควรระวังคือ อย่าเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์กำลังร้อน เพราะน้ำร้อนอาจพุ่งขึ้นมาจนทำให้เกิดอันตรายได้ เช่นเดียวกับการตรวจเช็คน้ำยาหล่อเย็น (Coolant) ที่ช่วยให้ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ตรวจสอบน้ำมันเครื่อง
ก่อนขับรถทางไกลทุกครั้งควรเช็คระดับหรือเช็คสภาพน้ำมันเครื่อง ซึ่งการเช็คระดับน้ำมันเครื่องนั้น คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยจอดรถในแนวราบ สตาร์ทรถทิ้งไว้ เพื่อวอร์มเครื่องให้มีความร้อนเท่ากับตอนวิ่งปกติ เมื่อมาตรวัดความร้อนขึ้นแล้ว ให้ดับเครื่อง แล้วรอสัก 2-3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องที่อยู่ในเครื่องยนต์ไหลกลับลงอ่าง จากนั้นดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมา แล้วใช้กระดาษชำระเช็ดน้ำมันเครื่องที่ส่วนปลายก้านออก เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องกลับลงไปตรงๆ จนสุด แล้วดึงขึ้นมาเพื่ออ่านค่าระดับน้ำมันที่วัดได้ หากอยู่ในระดับ Mid ก็เติมน้ำมันเครื่องให้อยู่ระหว่าง Max กับ Mid